ทองคำเป็นโลหะที่ได้รับความนิยมสูงสุดในวงการเครื่องประดับหรืออาจเรียกว่า ราชาแห่งโลหะ เพราะเป็นโลหะซึ่งมีสมบัติพื้นฐานที่โดดเด่นแตกต่างจากโลหะชนิดอื่น ๆ หลายประการ ดังนี้
ทองคำบริสุทธิ์มีสีสันเหลืองอร่าม มันวาว มีสีและความเงางามสม่ำเสมอ งดงามตลอดเวลา หากนำทองคำไปผสมกับโลหะชนิดอื่นจะทำให้โลหะผสมนั้นมีความงดงาม มันวาว รวมทั้งเพิ่มคุณค่าและมูลค่าให้แก่โลหะผสมนั้น
ทองคำมีความคงทนสูงไม่สึกกร่อนไปตามกาลเวลาไม่ทำปฏิกิริยาเคมีง่าย ทนต่อการกัดกร่อนของกรดและด่าง ไม่ขึ้นสนิม ไม่หมอง มีความเหนียวสูงสามารถดัดโค้ง ดึง รีด ยืด หลอม หรือตีเป็นแผ่นบาง ๆ ได้ง่ายโดยไม่แตกหัก ทองคำหนักประมาณ ๒ บาท สามารถดึงเป็นลวดทองเส้นเล็ก ๆ มีความยาวได้ถึง ๖๐ กิโลเมตร หรือทองคำหนักประมาณ ๑ บาท สามารถทุบเป็นทองคำเปลวที่มีความหนาประมาณ ๐.๐๐๑ มิลลิเมตร ได้ถึงประมาณ ๕ ตารางเมตร ซึ่งนำไปตัดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ได้ประมาณ ๓,๐๐๐ แผ่น
ทองคำเป็นแร่ที่หายากมาก การสำรวจ การทำเหมืองแร่ และการแต่งแร่ ล้วนแต่เป็นกระบวนการที่ต้องใช้บุคลากรที่มีความชำนาญหลายด้านใช้ต้นทุนสูงและใช้เทคโนโลยีขั้นสูง จึงทำให้ทองคำมีราคาสูง
ทองคำเป็นแร่ที่สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้ตลอดกาล ทองคำที่นำมาใช้เป็นเครื่องประดับเป็นส่วนประกอบของแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์หรือเป็นส่วนประกอบในวัตถุอื่น ๆ สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้อีกโดยกระบวนการการหลอม การแยกสกัดให้ได้ทองคำบริสุทธิ์ และนำมาใช้ประโยชน์ได้อีกครั้งตามที่ต้องการ
สมบัติทางฟิสิกส์
สมบัติทางฟิสิกส์ที่เป็นลักษณะเด่นของทองคำ ประกอบด้วย
สมบัติทางเคมี
ทองคำมีสูตรเคมี Au มักเกิดเป็นธาตุอิสระในธรรมชาติแต่อาจเกิดผสมกับธาตุอื่น ๆ เช่น เงิน ทองแดง เหล็ก สมบัติทางเคมีที่โดดเด่นของทองคำ ประกอบด้วย
สูตรเคมี Au
น้ำหนักอะตอม ๑๙๖.๙๖๗
จุดหลอมเหลว ๑,๐๖๓ ซ.
จุดเดือด ๓,๐๘๐ ซ.
การละลาย ละลายได้ในกรดกัดทองเท่านั้น